เทศน์พระ วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
โลกมันร้อน โลกนี่ร้อนนัก ดูสิอากาศโลกนี่ร้อน ยิ่งโลกของกิเลสร้อนกว่านี้ ร้อนกว่านี้เห็นไหม ดูสิอยู่ในห้องแอร์ อยู่ในที่ร่มเย็นขนาดไหน แต่ถ้าโลกมันร้อนนะ ความเร่าร้อนมันเผาหัวใจ เผาหัวใจจนแสดงอาการออกมา ในการอิจฉาตาร้อน ความเห็นต่างๆ เห็นไหม สิ่งนี้มันเผาใคร ถ้ามันไม่เผาตัวเจ้าของที่คิดนั้นก่อน
นี่โลกมันร้อน ถ้าความร้อนของเราเห็นไหม ความร้อนของอากาศนี่มันเป็นหน้าร้อน ฤดูกาลต่างๆ มันแปรเปลี่ยนไป สิ่งนี้มันเกิดเป็นอนิจจัง ความเป็นไปของเรานี่เป็นอนิจจัง ความเกิดเห็นไหม
นี่สังคมของเรานี่ นี่สังฆะ วันนี้วันอุโบสถศีลนะ ถ้าวันอุโบสถศีล เราพยายามทำเริ่มต้นจุดของเรานี่ให้เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ก่อน ถ้าเรามีความสะอาดบริสุทธิ์จากใจของเรา การก้าวเดินของเราไปจะสะอาดบริสุทธิ์
นี่โดยธรรม เราเป็นภิกษุ เราเป็นพระ เราเป็นนักรบ เราจะก้าวเดินโดยธรรมนะ ถ้าโดยธรรมเห็นไหม ธรรม.. ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลของเราต้องให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อน ถ้าศีลของเราสะอาดบริสุทธิ์ เราจะทำอะไรก็ด้วยความองอาจกล้าหาญ ถ้าเราไม่มีความผิดพลาดเลยในหัวใจของเรา ในการกระทำของเรา เราจะไปกลัวอะไร ถ้ามันจะผิดพลาด ก็ผิดพลาดเพราะเราไม่รู้ ใครจะรอบรู้ก็โลก
การเข้าสังคม การกระทำต่างๆ ถ้ามันผิดพลาดไปโดยความไม่รู้ ไม่มีเจตนานี่มันน่าให้อภัยนะ คนเขาไม่รู้ เขาตั้งใจของเขา เขาทำดีของเขา แต่เขาพลาดเพราะความไม่รู้ของเขา แต่ถ้ามันเป็นความอิจฉาตาร้อน มันเป็นความเผาผลาญของใจเห็นไหม นี่ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะกลัวอำนาจของเขา มีความลำเอียงไง ลำเอียงมันก็เหยียบใจเรา เหยียบหัวใจของเราเห็นไหม นี่โลกเป็นอย่างนั้นนะ ดูนะแล้วมันสลดสังเวช
เราจะเป็นนักรบ เราจะเป็นสังคมของสงฆ์นะ จะว่าสังคมใหม่ก็ได้ สังคมใหม่เราจะสะอาดบริสุทธิ์ของเราก่อน สะอาดบริสุทธิ์โดยศีลธรรมไง ถ้าศีลธรรมสะอาดบริสุทธิ์ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลนะ สีละ.. สีละคือการสละออก ศีลเห็นไหม ความปกติ ถ้าเรามีความสละออก สละออกจากใจไง ใจมันสละสิ่งนี้ออก เพราะเรามีเป้าหมาย เราไม่ใช่บวชแบบอยู่ไปวันๆ หนึ่ง
นี่ถ้าอยู่ไปวันๆ หนึ่งนะ สิ่งนี้ดูสิ คนที่ทุพพลภาพ คนที่กำลังคนเสื่อมเห็นไหม เขาทำอะไรของเขาไม่ได้ นี่เขาอยู่ของเขาไปวันๆ หนึ่ง เราบวชเป็นพระแล้ว เราจะเป็นนักรบ ถึงร่างกายเราจะผิดปกติ คนเรานี่มันอยู่โดยกรรม มันจะปกป้องสิ่งใด สิ่งนี้เป็นเรื่องข้างนอกนะ เรื่องของเราเห็นไหม จะยืน เดิน นั่ง นอน นี่มันเป็นเรื่องของการกระทำ มันวิปัสสนานี่หัวใจมันทำได้ทั้งนั้นล่ะ จะนอนก็ทำได้
คนเรานะแม้แต่เดินไม่ได้เลย นี่เป็นอัมพาต ถ้ารู้จักการประพฤติปฏิบัติก็ทำได้ เพราะยืน เดิน นั่ง นอน เปิดโอกาสให้ทุกคน ถ้าอย่างนั้นนะคนพิการก็ทำอะไรไม่ได้สิ คนพิการพิการแต่ร่างกาย หัวใจมันพิการไหมล่ะ ถ้าหัวใจพิการมันต้องคิดไม่ได้อย่างเรื่องของกิเลสบางอย่างสิ บางอย่างคิดไม่ได้เพราะมันพิการ มันออกไม่ได้ เหมือนกับท่อน้ำมันตัน น้ำนี่มันตันมันไหลไปไม่ได้หรอก
ความคิดก็ต้องไม่มีอย่างนี้สิ ทำไมมันมีความทุกข์ล่ะ เห็นไหม นี่ใจมันพิการเป็นที่ไหนล่ะ ถ้ายังนอนอยู่นะ ยังมีความรู้สึกอยู่ เป็นสภาวะแบบนั้นนี่ แม้แต่สมองเสื่อมเห็นไหม อัลไซเมอร์จำอะไรไม่ได้นี่ มันก็ต้องการประสามันนั่นล่ะ มันก็เรียกร้องของมัน นี่จิตใจมันก็เรียกร้องของมัน กิเลสตัณหาก็เรียกร้องของมัน
นี่เราจะเป็นภิกษุ เราเป็นนักรบ รบกับตรงนี้ไง รบกับความรู้สึกของเรา ถ้าเป็นความรู้สึกของเรานี่เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีลของเราเห็นไหม ความสงบของใจขึ้นมา ถ้ามีความสงบของใจขึ้นมานี่ เราจะเป็นปกติของเรา เราจะเป็นใจของเรา เราจะเป็นผู้ควบคุมใจของเรา เราจะไม่เร่าร้อนไปกับโลก อนุศาสน์ ๘ นี่เห็นไหม อยู่โคนไม้เป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร อยู่โคนไม้เป็นวัตร ต่างๆ เป็นวัตรนี่ มันอยู่ของเราได้ เราอยู่ของเราได้ เราใช้สอยโดยประหยัดมัธยัสถ์
ความประหยัดมัธยัสถ์นี่หลวงปู่มั่นสุดยอดมากเลย นี่จะประหยัดมัธยัสถ์มาก ความประหยัดมัธยัสถ์มันคือข้อวัตรปฏิบัติไง ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติมันแสดงออกมานี่ จิตใจไม่คึกไม่คะนอง ใจปกติ ความอยู่อาศัย การอยู่อาศัยเห็นไหม ภารา หเว ปัญจักขันธา นี่สิ่งที่กิเลสมันออกไปจากใจ ใจไม่มีกิเลสแล้วนี่อยู่เพื่อโลกเห็นไหม อยู่เพื่อเป็นเกียรติของศาสนา ให้ศาสนานี่มีเกียรติ มีเกียรติคือว่ามีผู้รู้จริง ถ้ารู้จริงก็เป็นผู้ชี้หลักความจริงในหัวใจของเรา
หลักในความจริงในหัวใจของเรา เราคิดของเรา มันมีความหมักหมมของใจ มันมีเหลื่อมมีเหลือบมีมุมในหัวใจนะ แต่เราไม่รู้ เพราะถ้าเราคิด เราต้องการ เราเป็นการกระทำว่าสิ่งนั้นเป็นความถูกต้อง สิ่งนั้นเป็นความดีเห็นไหม แล้วความดีของเราอยู่ในหัวใจ เราถึงกลัวไง เราถึงกลัวครูกลัวอาจารย์ที่รู้จริง กลัวครูกลัวอาจารย์จะชี้ในความบกพร่องของเรา เราไปกลัวครูบาอาจารย์ชี้ความบกพร่อง แต่เราไม่กลัวกิเลสมันพาบกพร่อง
เวลามันบกพร่องใครเป็นคนบกพร่อง ก็เราเป็นคนบกพร่องก่อน เราบกพร่อง เราทำความผิดพลาด แล้วครูบาอาจารย์บอกความผิดพลาดของเรา มันผิดไปตรงไหนล่ะ มันไม่ผิด ครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้ชี้บอกว่าความผิดของเรานี่ เราแสวงหาสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ เวลาคนเขาไปหาหมอกัน เขาต้องหาหมอที่ชำนาญการ หาหมอที่ไม่เลี้ยงไข้ หมอที่ไม่เลี้ยงไข้เขาจะรักษาคนให้คนป่วยนั้นหายจากไข้ได้
นี่ก็เหมือนกัน เราป่วยใจ ใจเราป่วย แล้วเราจะไปหาหมอ แล้วหมอจี้เข้ามาในใจของเรา จี้เข้ามาที่โรคของเรา นี่ก็คือหมอที่ถูกต้องไง มันผิดกันตรงไหนล่ะ มันเป็นความถูกต้อง เราถึงต้องควบคุมใจของเรา ต้องมาดูแลใจของเรา มันผิดที่ใจเรา มันผิดที่กิเลสของเรามันแสดงตัวออกมา แล้วครูบาอาจารย์คอยบอกคอยชี้คอยนำอย่างนี้ เพราะท่านเป็นครูบาอาจารย์ท่านถึงชี้เรา ถ้าท่านไม่ใช่ครูบาอาจารย์ท่านจะมาชี้เราทำไมเห็นไหม ไม่ได้ขอนิสัย ไม่ได้เป็นหมู่คณะกัน
ดูสิพระในสมัยพุทธกาล พระชาววัชชีเป็นผู้ที่ว่ารับเงินรับทองด้วยตัวเองต่างๆ แล้วพระมาฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระสารีบุตร เพราะพระสารีบุตรนี่เป็นอุปัชฌาย์ เป็นผู้บวชให้ พระสารีบุตรไปไม่ไหวหรอก เพราะพระที่นั่นดุร้ายมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอาภิกษุสงฆ์ไป แล้วให้ลงพรหมทัณฑ์ ให้พระชาววัชชีนั้นกระจายออกไป ไม่ให้อยู่ในพื้นที่นั้น เพราะเป็นคนพื้นที่นั้น เป็นคนที่นั่น แล้วอยู่กับผู้คุ้นเคยแล้วหาลาภสักการะ
การกล่าวเตือน การกระทำอย่างนั้น มันเป็นเรื่องความโหดร้ายจากภายนอก ขณะนั้นยังแก้ไขกัน แล้วถ้าความโหดร้ายจากในหัวใจของเรานะ นี่สังคมคือหมู่สัตว์ นี่สังคมเห็นไหม สัตว์การเมือง สัตว์มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง เราเป็นสังฆะก็เหมือนกัน สังฆะสงฆ์ขึ้นมาเห็นไหม เราเป็นสงฆ์ขึ้นมาทุกๆ อย่าง นี่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส สิ่งต่างๆ นี่มันจะจุนเจือกัน จะดูแลกัน จะรักษากัน
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนพระสงฆ์นะ ภิกษุ ถ้าเธอไม่ดูแลกัน ใครจะดูแลเธอ เจ็บไข้ได้ป่วยนี่เราไม่มีพ่อมีแม่ เราสละจากเหย้าเรือนออกมา เรามาอยู่ในอาวาส อยู่ในอารามที่เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล ผู้มีศีล ผู้ทรงศีล ผู้ที่แสวงหาคุณงามความดี แล้วเป็นหมู่คณะขึ้นมาเจ็บไข้ได้ป่วย มีปัญหาอยู่ในหมู่สงฆ์ แล้วเราไม่ดูแลกันนี่มันเป็นผู้ทรงศีลตรงไหน มันเป็นผู้ปฏิบัติตรงไหน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงเป็นตัวอย่าง เวลาภิกษุป่วยไข้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้อุปัฏฐากเลย ผู้ใดจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด แต่ก็มีข้อยกเว้น ภิกษุถ้าเป็นผู้ที่ดูแลรักษายาก เป็นผู้ที่เอาแต่ใจ อย่าไปดูแลมัน ทิ้งมันไปเลย เพราะมันอ่อนแอ มันไม่เข้มแข็ง มันไม่ดูแลตัวมันเองก่อน ทุกคนต้องดูแลตัวเองก่อน เราต้องไม่เป็นภาระของคนอื่นก่อน
แต่ถ้ามันมีความจำเป็นขึ้นมานี่ต้องให้ภิกษุดูแลกัน ภิกษุดูแลกันด้วยความสมควร ความสมควรกับธรรม สิ่งนั้นถึงดูแลกัน แต่ถ้าดูแลกันนี่จะอ้างเอาธรรมะขึ้นมา อ้างวินัยขึ้นมา เพื่อจะให้หลบหลีกไปกับธรรมวินัยนั้น มันเป็นประโยชน์อะไร
นี่กิเลสมันออกอย่างนั้นไง เวลากิเลสมันออกอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรม แสดงเป็นธรรม ถ้าเราทำเป็นธรรม ธรรมคือความมีเหตุมีผล เหตุผลความสมดุลนั้นเป็นธรรม ถ้าเราทำคือความเป็นธรรม สิ่งนั้นเราทำตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เราเคารพเห็นไหม กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ครูบาอาจารย์ท่านบอก เรากำลังกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าล่วงเกิน ถ้าล่วงเกินเข้าไปนี่ เหมือนเท่ากับล่วงเกินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเรา
นี่ศีลมันสะอาดบริสุทธิ์ตรงนั้น ศีล ศีลวัตร นั่นศีลในข้อวัตรไง นี่ข้อวัตรปฏิบัตินี่ นี่เป็นการแสดงของใจ ถ้าการแสดงของใจคือการฝึกฝน ถ้าเราไม่ฝึกฝนนะ คนที่ไม่ทำอะไรเลย คนที่อยู่เฉยๆ คนที่ไม่มีคุณค่าเลย เราเป็นภิกษุอย่าให้วันคืนล่วงไปล่วงไปนะ
เช่นในปัจจุบันนี้มันสลดใจ เพราะเรากำลังมีการก่อสร้าง กำลังมีการทำกันอยู่นี่ ทำก็ทำ ถ้าเราทำก็ดูแลเฉยๆ ดูแลไปเห็นไหม แล้วเราก็เดินจงกรมนั่งสมาธิกันมา แล้วเราก็คิดขึ้นมา ถ้าเรื่องมันเกิดขึ้นมาจากงานวัตถุเข้ามาเป็นงานภายใน เราก็ใช้สติปัญญาใคร่ครวญมัน ใคร่ครวญมันเห็นไหม นกมันมีรวงมีรัง ดูนกสิ นกมันไปคาบหญ้ามา คาบอะไรมา มันประสานรังของมันนะ มันดูแล้วมันเป็นธรรมชาติดีนะ เวลามันจะวางไข่ มันไปหาหญ้า หาใบไม้มาเอามาทำรัง แล้วมันก็วางไข่ มันก็กกไข่เห็นไหม นี่เผ่าพันธุ์ของมัน มันเจริญมา
นี่กุฏิ ที่พักที่อาศัยนี่เป็นที่เรือนว่าง ภิกษุเห็นไหม นี่อนุศาสตร์ ๘ อยู่โคนไม้ อยู่เรือนว่าง เราทำเพื่อให้อาศัย นกมันมีรวงรัง เราก็สร้างรวงรังของเรา เวลาในสังฆาทิเสส ภิกษุจะสร้างกุฏิต้องให้สงฆ์บอกที่ก่อน เพราะเป็นของส่วนรวม เป็นของของสงฆ์ สงฆ์ต้องชี้ที่ก่อน ถ้าไม่ชี้ที่สงฆ์เห็นไหม ได้มา ๔ ศอก ๖ ศอกที่ว่า นี่กว้างโดยรอบภายในภายนอก นี่ถ้าเขาได้มา นี่เป็นของสงฆ์เป็นของบุคคลได้ขนาดนั้น ได้ขนาดนั้น
นี้เป็นของสงฆ์ เราทำในของสงฆ์ เราทำในของส่วนกลาง เห็นไหม เพราะเราเป็นพระธุดงค์ เราเป็นพระกรรมฐาน และเราเคลื่อนไหวไป กรรมฐานเห็นไหม ที่อยู่อาศัยแล้วแต่เขาจะหาให้ ธุดงค์ข้อไหน เราไม่ติดในที่อยู่ แล้วแต่คนจะหาที่อยู่ที่ไหน เราก็อยู่ที่นั่น สิ่งนี้มันเป็นเพื่อความเรียบง่าย เพื่อความเป็นไปของหมู่สงฆ์เรา
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน
มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงต่างๆ ของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน
นี่วางธรรมและวินัยไว้ ธรรมและวินัยนี่เป็นธรรม เป็นธรรมนะ แล้วผู้ที่ทรงธรรมล่ะ ผู้ที่จะสืบทอดธรรมนี้มาล่ะ เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณีเข้มแข็ง เข้มแข็งเห็นไหม ความเข้มแข็งของเรา เข้มแข็งตรงไหน ก็เข้มแข็งกันอยู่ตรงนี้ไง ตรงที่เอาใจใส่ดูแล ถ้าเป็นวัตรปฏิบัตินี่มันก็เป็นเรื่องของส่วนกลาง ส่วนสงฆ์ ถ้าเป็นเรื่องของเราเห็นไหม นี่เรื่องของเรา
ความผิดของเขา ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ ความผิดของเขาให้ครูบาอาจารย์เป็นคนตัดสิน แต่ถ้าเขาขอคำปรึกษา เขามีความช่วยเหลือ หรือเป็นผู้ที่คุ้นเคยกัน พูดคุยกันได้เราก็พูดคุยกัน พูดกันเพื่ออะไร เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกันนะ สิ่งที่ในอาวาสวัดหนึ่ง ในวัดๆ หนึ่ง ถ้ามันมีสิ่งใดมากีดขวางมาขวางอยู่นี่ เหมือนน้ำนี่ ถ้ามีอะไรมาตันท่อ น้ำก็ไปไม่ได้เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน การขับเคลื่อนของเราไป เวลาข้อวัตรปฏิบัติต้องพร้อมกัน เราทำอะไรเหมือนกัน พร้อมกันเหมือนกัน เพื่ออะไร เพื่อกลั่นกรองตรงนี้ไง จริตนิสัยคนไม่เหมือนกันจริงอยู่ จริตนิสัยคนไม่เหมือนกันหรอก แต่ในเมื่อเป็นส่วนกลาง ส่วนกลางเป็นอย่างนี้ พ้นจากส่วนกลางมาแล้วเราก็หลบหลีกไปตามแต่จริตนิสัยของเรา เราจะนั่งสมาธิที่ไหน เราจะตรึกอย่างไร เราจะดูหนังสือ เราจะดูธรรมะ เราจะปรึกษาธรรม อย่าปล่อยให้ผัดวันประกันพรุ่ง
การผัดวันประกันพรุ่งนั้นเสียไปวันๆ หนึ่งนะ เวลานี่มันสำคัญมาก เราแก่ชราไปทุกวันๆ นะ นี่ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ พรรษาจะมากไปเรื่อยๆ เราจะเป็นครูบาอาจารย์ไปข้างหน้าแน่นอน ๒๐ พรรษา ๓๐ พรรษานี่คนจะมากราบไหว้แน่นอนเลย นี่ดูพระสิพระต่อไปนี้ พระนี่ จำนวนเห็นไหม เวลาเขาสร้างวัดกันเขาบอก โอ๋ย วัดเยอะแยะเต็มไปหมดแล้ว พระเยอะแยะไปหมดแล้ว นี่แล้วสมัยก่อนนี่คนมัน ๑๖ ล้าน วัดก็มีเท่านี้ แล้วสมัยนี้คนมัน ๖๐ ล้าน
ดูสิ ดูในกรุงเทพฯ นี่ เวลาเขาทำพิธีกรรมกันนี่ จนไม่มีพระจะให้เขาใช้นะ พระนี่ต้องวิ่งรอกกันเลย แต่เวลาไปบวชพระกันมาก็ว่าพระมาก เดี๋ยวนี้พระมาก นี่แล้วเวลาพรรษามากขึ้นมานี่ มันจำนวนมันน้อย มันจำนวนมันไม่มี แม้แต่เขาใช้งานกันในพิธีกรรมนะ นี่แต่เราไม่ให้เขาใช้งานอย่างนั้น เราจะต้องทำตัวเราให้เป็นพระขึ้นมาก่อน เราจะทำตัวเราให้เป็นพระขึ้นมา ถ้าเป็นพระเป็นพระขึ้นมาจากภายใน พอตัวเราเป็นพระขึ้นมานี่เห็นไหม ธรรมและวินัย
ถ้ามันยังไม่สงสัย ผู้ที่ไม่เคยสงสัยในธรรมและวินัย แล้วเวลามันมีเหตุการณ์ขึ้นมาในการนำหมู่สงฆ์นำหมู่คณะออกไปนี่ มันจะไปผิดพลาดตรงไหนล่ะ ถ้ามันไม่ผิดพลาดตรงไหน เวลามันมีกิจกรรมขึ้นมานี่ เราปฏิเสธตรงนั้นก็ได้ เหตุผลมันมีทั้งนั้นล่ะ มีเหตุผลที่เราจะชนะคะคานกัน ผู้ที่เป็นปัญญาชน เขาเป็นนักบริหาร เวลาเขาจะมาหาพระนี่ เขาต้องการหาพระที่ดี แล้วพระที่ดี เวลาเขาจะต้องการเอาพระออกไปใช้งานนี่ ถ้าเรามีเหตุผลที่ดีกว่าเขา นี่เขาออกไปนี่มันได้ประโยชน์อะไร ประโยชน์นั้นก็แห่กันไปตามประสาโลก
แต่ประโยชน์ของพระมันมีนี่ ประโยชน์ของพระที่ต้องการความวิเวก ต้องการความสงบสงัด ต้องการเวลาที่ประพฤติปฏิบัติ นี่ประโยชน์ของพระก็ต้องการ แล้วประโยชน์ของโลกก็ต้องการ แล้วประโยชน์ของใครมีอำนาจมากกว่า ก็เอาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่านั้นเป็นตัวตั้ง ถ้าตัวตั้ง เขาแพ้ด้วยเหตุผลเขาต้องยอมรับ
ถ้ามีธรรมในหัวใจนี่สิ่งนี้มันชำระคะคานกันได้ มันมีการรักษากัน แต่ถ้ามันไม่มีธรรมในหัวใจ เวลามีเหตุการณ์ขึ้นมานี่ เราจะจำนนไปกับเขาหมดเลย เราไม่รู้จะเอาอะไรไปพูดกับเขา เพราะอะไร เพราะใจมันมืด นี่ใจมันมืดเห็นไหม พอใจมันมืดขึ้นมานี่มันไม่เข้าใจอะไรเลย พอไม่เข้าใจอะไรจะทำอะไรมันก็กลัวไป แต่ถ้ามันเข้าใจอะไรหมดในหัวใจนี่ หัวใจนี้ไม่มีเหลือบไม่มีในหัวใจเลย มันจะไปกลัวสิ่งใดล่ะ
ขณะที่ว่าความเข้าใจในธรรมนี่มันยังมีประโยชน์ขนาดนั้น แล้วความสุขในธรรมล่ะ ความสุขที่เราเกิดขึ้นมานี่ ร้อนๆๆๆ นี่ เอ้า ความร้อนมาจากไหน ความร้อนก็มาจากใจมันเร่าร้อนไง แล้วใจมันเร่าร้อนนี่สิ่งนี้เป็นอากาศนี่ นี่ดูสิโลกร้อน โลกร้อน ทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่าโลกนี้จะร้อนไปเรื่อยๆ นี่พอมันโลกร้อนขึ้นมานี่มันจะมีอากาศมันจะแปรปรวน นี่สิ่งที่แปรปรวนไปความเป็นอยู่ของคนจะลำบากขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ถ้ามันลำบากขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็ต้องอาศัยสิ่งที่เป็นการพยุงชีวิตของเขา เป็นการดำรงชีวิตของเขา นี่มันต้องหาสิ่งต่างๆ มาบำบัดมากขึ้นไป
ชีวิตเรามันจะลำบากไปข้างหน้านะ เพราะคนมันมากขึ้น โดยธรรมชาติ นี่ดูสิดูอย่างไออุ่นของร่างกายเรานี่ นี่มนุษย์ที่อยู่กันมากขึ้นมานี่ มันจะมีความร้อนออกมาจากร่างกาย นี่ความร้อนนะคนเรานี่ สิ่งของเสียที่มันขับออกมาจากร่างกายนี่ ยิ่งเป็นพันๆ ล้านคนนี่ออกมาเท่าไหร่ วันหนึ่งใช้เท่าไหร่ วันหนึ่งออกมาเท่าไหร่ แล้วโลกมันจะอยู่ได้อย่างไรล่ะ โลกมันก็ต้องเป็นสภาวะแบบนี้อยู่แล้ว ในเมื่อมีการใช้สอยมาก
นี่มันเรื่องของโลก แล้วถ้าหัวใจล่ะ นี่สิ่งนี้มันเป็นเผ่าพันธุ์นะ สิ่งนี้มันเป็นความโลกเจริญ เมื่อก่อนนี่สิ่งต่างๆ อย่างเช่นเกษตรกรรม ทั่วโลกความเป็นอยู่คล้ายๆ กัน เพราะว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาตินะ พอมีอุตสาหกรรมขึ้นมา ผลิตๆๆ ขึ้นมา นี่อุตสาหกรรม แล้วอุตสาหกรรมการปฏิบัติมีไหม? อุตสาหกรรมธรรมะมีไหม?
นี่อุตสาหกรรมธรรมะมันก็มีพวกซีดี พวกอะไรพวกนี้ อุตสาหกรรมก็ปั๊มออกมาสิ แล้วมันไม่มีชีวิตไง มันบอกกันไม่ได้ เราฟังนี่มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าคนผู้ปฏิบัติ พระเรานี่เป็นผู้ปฏิบัติ ถ้าหูดี ถ้ามีอำนาจวาสนา สิ่งนั้นมันสะเทือนหัวใจนะ ฟังเทปฟังซีดีนี่มันสะเทือนใจ ฟังธรรมนี่มันสะเทือนใจ สะเทือนใจนี่เราก็มีโอกาสเห็นไหม นี่มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของผู้ฟังอีกต่างหากนะ ถ้าผู้ฟังมีสภาวะแบบนั้น
แต่ถ้ามาฟังสดๆ นี้ล่ะ ธรรมะสดๆ มันออกมาจากใจนะ ออกมาจากปัจจุบันนี้ นี่ปัจจุบันก็เหมือนกัน เหมือนอาหารร้อนๆ อุ่นๆ เลย เอาออกมาจากเตานี่มันมีรสชาติต่างกันนะ แต่ว่าเก็บไว้จนเย็นชืดแล้วรสชาติก็ต่างกัน ก็ยังดียังเป็นอาหารยังมีความสนใจ ยังเอาอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ หัวใจยังมีธรรมในหัวใจอยู่ มันยังเป็นประโยชน์กับมนุษย์เหมือนกัน
แต่ถ้าปฏิเสธหมดเลย ไม่เอาสิ่งใดๆ เลย สิ่งใดก็ไม่เอาเลย นี่สิ่งนี้มันเป็นตกยุคตกสมัย นี่กิเลสมันล้ำยุคล้ำสมัย นี่ทำอะไรนี่ ทำไมต้องมาทุกข์มายาก คำนี้สำคัญนะ เวลาปฏิบัติมันจะย้อนกลับมา ทำไมต้องมาทุกข์มายาก? เอ้า แล้วอยู่เฉยๆ มันทุกข์ยากไหมล่ะ นี่เวลามันทุกข์ยากนี่ มันจะไปอยู่เฉยๆ ของมัน มันจะนอนตีแปลงว่าสิ่งนั้นเป็นความสุขไง ..มันเป็นความสุขไปไม่ได้ คนเราให้นอนเฉยๆ นี่นอนไม่ได้หรอก คนเรานี่ให้อยู่เฉยๆ เป็นไปไม่ได้หรอก
นี่เวลานอนเฉย แล้วนั่งสมาธิก็อยู่เฉยๆ เหมือนกัน ทำไมมันทำไม่ได้ล่ะ นั่งสมาธิทำไมนั่งเฉยๆ ไม่ได้ อย่าให้กิเลสมันหลอกนะ เวลากิเลสมันหลอก นี่ทำไมต้องมาทุกข์มายาก นี่ตรงนี้ล้มเลย เห็นไหมเวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก สมัยอยู่หนองผือเห็นไหม เริ่มต้นในพรรษา พระนี่ถือธุดงควัตรในวัดกันหมดเลย เวลาไปกึ่งพรรษา กลางพรรษา ค่อนพรรษา หมด! ล้มหมด เลิกหมด นี่หัวใจมันอ่อนแอ มันสู้ไม่ไหว มันสู้ทุกข์ยากไม่ไหว
แล้วเวลาบิณฑบาตมามันไม่ได้ข้าวมาเหรอ มันได้ข้าวมาทั้งนั้นแหละ อาหารจะได้มากได้น้อยก็แล้วแต่มันก็ได้มาทั้งนั้นล่ะ นี่ดำรงชีวิตแค่นี้เอง ทำไมดำรงชีวิตไม่ได้เหรอ นี่เราอดอาหารยังอดได้เลย แล้วเวลามันอดไม่ได้นี่ นี่กิเลสมันเหยียบใครอย่างนี้จมหัวเลย
ครูบาอาจารย์ถึงบอกวางเป็นธุดงควัตรโดยกติกาเลย ทุกคนต้องทำอย่างนั้น แต่ทำอย่างนั้นไปมันก็อ่อนไป อ่อนไปเพราะว่าทุกอย่างมันเป็นระบบไง เพราะสิ่งใดต้องมาใส่กันหน้าวัดต่างๆ แต่ก็ยังดี ยังดีให้รู้จักเห็นไหม ให้มันมีการกระทำขึ้นมา ไม่ให้มันมีแต่ตัวอักษรไง มันมีแต่ตัวอักษรนะ นี่ธรรมวินัยเป็นอย่างนี้ พวกภิกษุทำอย่างนี้
นี่จนชาวบ้านเขานินทานะ กราบพระไปโดยลูกชาวบ้านนี่ นี่แล้วถ้าทางวิทยาศาสตร์เห็นไหม คือพระอยู่ที่ไหน ก็เห็นคนเหมือนกันห่มผ้าเหลือง เขาพูดอย่างนั้นนะ เห็นคนห่มผ้าเหลือง ไม่เห็นมีพระซักคน คนห่มผ้าเหลือง เขาว่ากันอย่างนั้น มันสมมุติไง จริงโดยสมมุติ เราจตุตถกรรม ในเมื่อเราญัตตินี่นะ เราจะสร้างขึ้นมา เราเป็นสงฆ์ เราเป็นสงฆ์โดยสมมุติก็จริงอยู่ แต่สงฆ์จริงๆ ไง สมมุติจริงกับสมมุติ เราต้องประพฤติปฏิบัติ
นี่เขาจะบอกว่าคนห่มผ้าเหลืองก็เรื่องของเขา ในเมื่อจิตมันหยาบอย่างนั้น มันไม่ยอมรับความเป็นจริง ถ้าเราเป็นพระขึ้นมาโดยความเป็นจริง แล้วเราประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้าเราเป็นพระจากภายใน ใครจะรู้กับเราว่าเป็นพระหรือไม่เป็นพระ
นี่ความเห็นของเขา ความดูถูกเหยียดหยามของโลก โลกมันเหยียดหยาม นี่เห็นไหม คนที่มาบวชพระนี่คนที่จนตรอก คนที่ไม่มีทางไป คนที่สิ้นไร้ไม้ตรอก แต่เขาไม่คิดเลยว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นกษัตริย์ นี่สละราชบัลลังก์ออกมาบวชเลย ออกมาประพฤติปฏิบัติเลย นี่สิ่งที่เขาหากันอยู่นั้น เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธมาแล้ว แล้วสมัยพุทธกาลเห็นไหม กษัตริย์ออกบวชมหาศาลเลย
นี่เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วนี่ ถ้าเป็นความจริงนะ สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ" สุขหนอสุขที่ไหนล่ะ? สุขที่มันไม่มีความกังวลไง คนเรานะไม่มีความรับผิดชอบไว้บนบ่า ยังไม่รู้หรอกว่าภาระรับผิดชอบมันทุกข์ขนาดไหน แล้วยังไม่รู้ภาระรับผิดชอบขณะที่ว่าเราต้องแสวงหาสิ่งใดๆ มา ต้องป้องกัน ต้องรักษา ต้องปกป้อง เป็นผู้นำ
กษัตริย์รักษาประเทศชาตินี่ มันทุกข์ขนาดไหน มันแบกประเทศทั้งประเทศเลย แล้วเวลามันปลดเปลื้องได้ วางได้ วางได้เฉยๆ นะ วางได้เราก็อาลัยอาวรณ์ ถ้าประพฤติปฏิบัติแล้วยังไม่ถึงที่สุดก็อาลัยอาวรณ์นะ เคยเป็นกษัตริย์ มีคนนับหน้าถือตา มาเป็นพระไม่มีใครดูแลเลยนะ มันจะออกรูปนี้ล่ะกิเลสนี่
แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติ ทำลายจิตของเรา ทำลายความรู้สึก ทำลายภวาสวะ ทำลายหัวใจหมดแล้วนี่ มันว่างหมด แม้แต่ความรู้สึกจากภายในมันก็ไม่มีอะไรมาขัดแย้ง ความเป็นอยู่มันก็สุขสบาย นี่จะกิน จะเดิน จะขับ จะถ่าย มันสะดวกสบายไปหมดเลย เป็นกษัตริย์ทำอะไรไม่ได้เลย ต้องอยู่ในฐานะของกษัตริย์ นี่จะกินก็กินแบบกษัตริย์ จะถ่ายก็ถ่ายแบบกษัตริย์ เป็นกษัตริย์ต้องมีพิธีกรรม ต้องมีสถานะตลอดไปเห็นไหม แบกหัวโขนทุกข์ตายห่าเลย
นี่เวลาออกประพฤติปฏิบัติ ถึงที่สุดนะ สุขหนอ สุขหนอ เห็นไหม นี่มันจะเจอสถานะอย่างนี้ คืออำนาจวาสนาของแต่ละบุคคลที่เกิดมาเป็นกษัตริย์แล้วออกบวช เราไม่ได้เป็น เราไม่ได้เป็น เราเป็นมนุษย์นี่เราได้ออกประพฤติปฏิบัติ แต่มันยังมีโอกาสนะ มีโอกาสเพราะว่าครูบาอาจารย์เรายังมีอยู่นะ เหมือนกับเราเป็นไข้ เรามีหมออยู่เราควรจะตื่นตัว อย่านอนใจนะ อย่านอนใจ การนอนใจคือนอนจมอยู่กับกิเลส เราอย่านอนใจ จะต้องขวนขวาย จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา
สัตว์ป่าเห็นไหม สัตว์ป่ามันอยู่ของมัน มันไม่มีใครดูแลมันนะ มันต้องรักษาตัวมันเองตลอดเวลา เก้ง กวางนะ เวลามันจะกินอะไรมันเหลียวซ้ายเหลียวขวา มันจะอิ่มท้องแต่ละอิ่มท้องนี่มันเอาชีวิตมันเข้าแลกตลอดเวลา เผลอมันก็โดนฆ่านะ นี่มันยังต้องตื่นตัว รักษาตัวมันขนาดนั้นนะ
เราเป็นภิกษุ เราไปหาครูบาอาจารย์ตลอดเลย ภิกษุผิวบางๆ นะ บาดเดี๋ยวก็ขาดนะ ผิวหนังเรานี่แค่บาดเดียวนะ ผิวบางๆ อย่างนี้ต้องรักษาให้ดีนะ เห็นไหม นี่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเป็นภิกษุ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะท่านจะเห็น เพราะอะไร? เพราะแต่ละภิกษุ พระเราแต่ละองค์ จะเริ่มตั้งแต่พรรษาขึ้นมานี่ เราจะผ่านทุกข์ผ่านยาก
ครูบาอาจารย์เราบอกเลยนี่เข้าสู่สังคม สังคมนี่ก็ได้เข้ามาแล้ว ได้เห็นมาแล้ว เห็นไหม พระนี่ พระนี่สังคมสูงขนาดไหน เขาก็ต้องมีพิธีกรรมให้พระทุกอย่าง แล้วแต่เขาจะศรัทธา ใครศรัทธาฝ่ายไหน ใครอยากจะหาใคร เขาก็หาพระไปทำพิธีกรรมของเขา เพราะเป็นชาวพุทธด้วยกัน ผ่านสังคมอย่างนั้นมานี่ แล้วพระเล็กพระน้อยนี่ได้สัมผัสมา นี่โตขึ้นมา..โตขึ้นมา..
เราก็เหมือนกัน นี่เราบวชแล้ว เราเป็นภิกษุแล้วนี่ถึงให้ตื่นตัว ตื่นตัว ตื่นภัย ตื่นทุกๆ อย่าง แล้วภัยข้างนอกภัยข้างใน ภัยข้างนอกนี่ ทุกคนก็ช่วยเหลือเจือจานกันได้นะ ภัยจากข้างนอกนี่ ปัจจัยเครื่องอาศัยดูแลกันได้ เจ็บไข้ได้ป่วยดูแลกันได้ ทุกอย่างดูแลกันได้ ภัยข้างในนี่น่ากลัวมาก
ภัยข้างในนี่เวลามันท้อถอย เวลามันไม่สู้ เวลามันคอตกเห็นไหม นี่ทุกข์มาก ครูบาอาจารย์เทศนาว่าการ พยายามฉุดกระชากขนาดไหน มันก็อั้นตู้ มันมืดแปดด้าน มันไม่ยอมไป แต่ถ้าเวลามันมีกำลังขึ้นมานี่ เราจะประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ จิตใจยังสดใสอยู่นี่ นี่ตั้งสติไว้ ชำนาญในวสี นี่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะชำนาญในวสี ชำนาญในเหตุนะ เราชำนาญในเหตุ ข้อวัตรปฏิบัตินี่มันมีกุศลมากนะ
กุศลฟังสิ กุศลคือความดี เราทำข้อวัตรปฏิบัตินี่มันมีเครื่องอยู่ คนเขามีเครื่องอยู่นะ รถถ้ามันอยู่บนถนนนะมันวิ่งไป รถถ้ามันตกถนนนะ เวลาน้ำป่ามันมามันพัดรถนี่ตกลงไปในเหวนะ ในที่ลุ่มนี่รถนี่จมน้ำไปเลยเห็นไหม ชีวิตนี้เราอยู่บนถนนหนทาง เหมือนกับอยู่บนข้อวัตรปฏิบัติไงมันจะมีถนนหนทางไป นี่ข้อวัตรปฏิบัติสำคัญตรงนี้ไง ถ้าอย่างไรมันเป็นเครื่องอยู่ เครื่องอยู่คือว่าเรายังดำเนินไปได้
รถอยู่บนถนนมันยังวิ่งไปได้เลย มันมีเป้าหมาย มันมีปลายทาง นี่ก็เหมือนกัน ทำข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าเรามีข้อวัตรปฏิบัติกับเรานี่มันเป็นเครื่องอยู่ อย่าให้เศร้าหมอง จิตนี้เศร้าหมองนะ ถ้ามันสับสน มันซับซ้อนในใจนี่ จิตนี้เศร้าหมอง จิตนี้ผ่องใส ผ่องใสเพราะมันมีการขยับเขยื้อน มันมีการถ่ายเท การทำข้อวัตรนี่มันมีการถ่ายเท
ทำข้อวัตรปฏิบัติมันมีกุศลมาเพราะอะไร เพราะนี่สมบัติของสงฆ์ เราเอาของสงฆ์มาใช้นี่ ถ้าเราไม่เก็บ เวลาเราจากไปเห็นไหม เตียง ตั่ง เอาออกมากางใช้ ถ้าจะเดินทางนี่นะ ไม่เก็บเข้าที่เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เห็นไหม ของของสงฆ์นี่ เราใช้แล้วไม่เก็บนี่มันเป็นอาบัตินะ ถ้าเป็นอาบัตินี่ เราทำของเรานี่ เพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม ปลวกขึ้นนี่ ต่างๆ ขึ้นนี่เห็นไหม เราเอาน้ำมันมาดูแลมารักษา รักษาของใคร? รักษาของสงฆ์
ดูสิ เวลาเขาใช้ของสงฆ์นี่เป็นเปรต เอาสิ่งของสงฆ์ไปเป็นเปรต เราเป็นสังฆะเป็นสงฆ์อยู่แล้ว แล้วของของสงฆ์ เราดูแลของสงฆ์เพื่อ! เพื่อเรา เพื่อความสะอาด เพื่อความเป็นไปของอาวาส ใครเข้ามาในวัด เห็นแล้วเขาก็ชื่นใจ ผู้ที่ไม่ศรัทธาก็จะศรัทธา ผู้ที่ศรัทธาอยู่แล้ว เห็นแล้วก็ชื่นอกชื่นใจ
ภิกษุจะสอนเขา สะอาดมาจากภายนอก ศีลของเราสะอาดบริสุทธิ์ก่อน เราถึงจะไปสอนเขาให้สะอาดบริสุทธิ์เหมือนเรา ความเป็นอยู่ของเราก็สะอาดบริสุทธิ์ เรารักษาของๆ เรา นี่ข้อวัตรปฏิบัติทำให้จิตเราตื่นตัว ให้จิตเรานี่ กุศลมันเกิดไปเรื่อยๆ นะ ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้นนะ ไม่ทำอะไรนะก็อั้นตู้อย่างนั้น
แต่กิเลสมันบอกเลยนี่เป็นคนได้เปรียบ เป็นคนสะดวกสบาย มันได้เปรียบ ได้เปรียบโดยกิเลสเหยียบหัวไว้นะ แล้วมันก็เศร้าหมอง เศร้าหมองสิ เพราะอะไร เพราะมันอับเฉาไง อับเฉา นั่นก็ไม่ได้ทำ นี่ก็ไม่ได้ทำ จะทำอะไรก็เก้อๆ เขินๆ เห็นไหม นี่สิ่งนี้เราทำของเรา อย่าพยายามจำนนกับมัน อย่าไปยอมแพ้กับมัน
นี่การเคลื่อนไหว การกระทำของเรานี่เหงื่อทั้งนั้นเลย สิ่งทุกอย่างได้มาจากเหงื่อ ได้มาจากพลังงานเราทั้งนั้นล่ะ นี่แล้วยิ่งได้เหงื่อ ดูสินักกีฬาขนาดไหน นักกีฬาแชมป์โลก แชมป์อะไรขนาดไหน เขาฝึกซ้อมตลอดเวลานะ เขาได้เหงื่อมามากกว่าเราอีก เวลาแชมป์โลก เห็นไหม เวลาเขาจะป้องกันแชมป์นี่ ต้องลงนวมแรก ๑๒๐-๑๓๐ ยก นี่ประมาณนั้นเลย ถ้าต่ำกว่านั้นแล้วนี่การขึ้นไปป้องกันต้องมีอัตราเสี่ยงมากแล้ว ถ้าการซ้อมถึงจุดของเขา อัตราเสี่ยงก็น้อยลง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีข้อวัตรปฏิบัติ เราเสียเหงื่อไป เรามีการประพฤติปฏิบัติไป นี่มันได้เสียออกไป เหมือนกับเราซ้อมไง แต่ถ้าเวลามันวิปัสสนาขึ้นมา กุศลมันเกิดขึ้นมานะ ทุกอย่างมันเป็นธรรมนะ เวลาพระจะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม นี่วิปัสสนาไปแล้วติดขัดในหัวใจ เดินไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอดีเกิดฝนตกเห็นไหม ฝนตกขึ้นมานี่น้ำจากชายคาลงมาเป็นแพเลย แล้วน้ำจากข้างบนตกลงมาเป็นจุดเป็นต่อม เป็นฟองอากาศ
นี่จิตมันมีปัญหา มันวิปัสสนาอยู่แล้ว พอไปเจออย่างนั้นนี่ นี่ถ้าจิตมันมีคุณสมบัติมันมีธรรม มันเห็นสิ่งใดมันเป็นประโยชน์นะ ถ้าจิตเป็นธรรม เห็นอะไรนี่มันจะเป็นธรรม มันจะย้อนกลับมาดูตัวเรา แล้วมันจะละอายใจไง ถ้าจิตของเราไม่เป็นธรรมนะ มองอะไรไม่เป็นธรรมเลย มองอะไรนะ แล้วจิตถ้าจิตมันเสื่อมถอยนะ
คนเรานะเวลามันพ่ายแพ้ จิตมันพ่ายแพ้นะ มันจะละเพศนะ มันจะออกมา เราจะไปปลูกข้าวบนเมฆก็ได้ จะทำอะไรนี่มันจะสร้างวิมานในอากาศได้หมดเลย แล้วมันจะชวนให้เราออกไปตลอด นี่เวลาเราจะออก ออกไปไหน ก็ออกไปเป็นคฤหัสถ์ไง แต่ถ้าจิตมันส่งเสริมขึ้นมานะ สิ่งนั้นนี่ โลกเขาเกิดตายเกิดตายนะ เราขึ้นมาเป็นนักรบแล้วนี่ เราจะถอยอย่างไง
เวลาพระสึกเห็นไหม ชะยันโต ชะยันโต มันจะชะยันโตไปไหน มันแพ้ภัย มันออกไปรับรู้อย่างนั้น มันจะไปชะยันโตมันชนะอะไร มันชนะมารมาจากไหน มันแพ้ตลอดเลย แต่เวลาเขาชะยันโต ชะยันโตเป็นผู้ชนะต่างหากล่ะ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเข้มแข็งของเรา เราจะเอาชนะตัวเราเอง เราต้องเข้มแข็งนะ นักรบเห็นไหม นี่ลงอุโบสถ เห็นไหม เพื่อความสะอาดของสังฆะ เพื่อสงฆ์ของเราเห็นไหม เราจะช่วยเหลือกัน เราจะเจือจานกัน เราจะทำให้ศาสนานี้มีเกียรติยศ เป็นเกียรติของศาสนาเลยนะ
เพราะเกียรติศาสนานะ สัมมาทิฏฐิ ความเห็น สัมมาสังกัปโป เป็นสัมมา เป็นความเห็นถูกต้อง เป็นการกระทำที่ถูกต้องเห็นไหม มันจะทุกข์ มันจะยาก มันจะลำบาก แน่นอน การทำงานของโลกเขาก็ทุกข์ยาก เขาก็ลำบากเหมือนกัน นี่ทำงานของสงฆ์ไง ทำงานของสงฆ์ใช่ไหมมันบีบคั้นเข้ามา บีบคั้นในความรู้สึกไง เราจะขยับอะไรมันก็มีธรรมวินัยเป็นที่บัญญัติไว้ นี่มันเป็นกรอบ มันจะบีบคั้นไม่ให้จิตเราออกไปข้างนอก มันจะมีกรอบของมันอยู่
นี่ถ้าเข้ามาแล้ว พระในสมัยพุทธกาลเห็นไหม นี่ว่าจะสึก นี่อะไรก็ผิดไปหมดเลย ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก รักษาศีลข้อเดียวได้ไหม
ได้ครับ รักษาใจเห็นไหม รักษาใจไว้ รักษาศีลข้อเดียว เพราะอะไร เพราะกิเลสมันมาหลอกไง
นี่ผิดไปหมด อะไรก็ผิดไปหมด มันไม่ผิดมันก็กังวลให้ผิดไง มันไปคิดไว้ก่อนว่าไอ้นั่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด ทั้งๆ ที่ยังไม่ทำอะไรเลยมันก็ว่าผิด แต่ในวินัยบอกเลยนะถ้าลังเลสงสัยไม่ให้ทำ ถ้าผิดเพราะความลังเล ผิดเพราะความสงสัยไม่ควรกระทำเลย แต่นี้กิเลสมันพาสงสัยไง นี่เราถึงต้องศึกษาให้เข้าใจ แล้วไม่ต้องสงสัย
ความผิดพลาด ความพลั้งเผลอเพราะเราขาดสติ อันนี้มันปลงอาบัติเอา ปลงอาบัตินะ จะไม่ให้ผิดพลาดไปเลยนี่มันเป็นไปได้ที่ไหน ความผิดนี่มันมีอยู่แล้ว เพราะมันมีกิเลสในหัวใจ แต่! แต่เราไม่ให้กิเลสมันชักนำไง ไม่ให้มีความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไง ผิดก็รีบปลงอาบัติ สิ่งนั้นเพราะมันมีเจตนา เพราะรู้แล้วจะไม่มีอีก รู้แล้วไม่ทำอีก นี่ดัดแปลงตนมาตลอด
คนดัดแปลงอย่างนี้เหมือนต้นไม้ไง ต้นไม้นี่ถ้าเราค้ำมัน เรายันมันให้ดีนี่ ต้นไม้เราดูแลดี ต้นไม้ต้องโตได้ จิตก็เหมือนกัน ธรรมและวินัยนี่ค้ำไว้ ค้ำโพธิ์ ค้ำโพธิ์ โพธิ โพธิเห็นไหม โพธิคือหัวใจ ถ้าค้ำขึ้นมาได้ โพธิคือปัญญา ปัญญามันใคร่ครวญขึ้นมาได้นี่ ชีวิตมันจะราบรื่น ชีวิตจะดีงาม
นี่ความเข้าใจอย่างนี้ มีหลักมีเกณฑ์อย่างนี้ ถึงจะเป็นภิกษุ ถึงจะเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของใจ ถ้าเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของใจนี่ ก้าวเดินขึ้นไปนี่ ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นมานี่ ก็อยู่ที่อำนาจวาสนาที่ใครจะทำได้มากได้น้อย
ศีล สมาธิ ปัญญานะ ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติบูชาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์นะว่า อานนท์ เธอบอกเขาเถิด อย่าให้เป็นอามิสบูชาเลย นี่ที่โลกเขาทำกันนี่เป็นอามิสบูชาหมดเลย แต่เขาพยายามอยากจะประพฤติปฏิบัติกัน อยากประพฤติปฏิบัติกันก็หาครูหาอาจารย์ หาสถานที่ ถ้าเขาไปเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ชี้นำขึ้นมา ก็เป็นบุญกุศลของเขา
ถ้าเขาไปเจอครูบาอาจารย์ที่เป็นฤๅษีชีไพร ปฏิบัติเป็นสักแต่ว่า ทำอะไรไปอย่างนั้นนี่ เป็นฤๅษีชีไพร ก็อำนาจวาสนาของเขา เพราะเขาชอบของเขา เขาพอใจของเขา เขามีบุญมีกรรมต่อกันก็เรื่องของเขา แต่เรื่องของเรานี่เอาตัวรอดให้ได้ก่อน เอาตัวรอดให้ได้นะ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนรักษาตนเองได้ แล้วตนนี่จะช่วยเหลือเขาแน่นอน
ต่อไปนี่ภิกษุจะแบบว่าพรรษามากๆ ขึ้นนี่มันจะน้อยองค์ลงเห็นไหม แล้วนี่ดูชาวโลกที่เขาต้องหาที่พึ่งๆ นี่ นี่เขารอพึ่งอาศัยทั้งนั้นล่ะ เพียงแต่ว่าเราอาศัยตัวเราได้หรือยัง เราตั้งหลักตั้งฐานของเราได้หรือยัง ถ้าเราตั้งหลักตั้งฐานของเราได้แล้วนี่ นี่คนนี่จะรอให้แบกรับภาระเป็นมหาศาลเลย ทุกคนรออาศัยนะ
ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ นี่ภิกษุ ๖๑ องค์ เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ และบ่วงที่เป็นโลก บ่วงที่เป็นโลกคือบ่วงเรื่องโลกๆ ต่างๆ บ่วงที่เป็นทิพย์ที่ว่าเกิดตายในวัฏฏะ พ้นจากบ่วงทั้งหมดแล้วนี่ ไปอย่าซ้ำทางกัน เพราะว่าโลกนี้เร่าร้อนนัก เขาต้องการคนพึ่งพาอาศัย แม้แต่พระไม่ให้ซ้อนทางกันเลย มันเสียบุคลากร
แล้วในปัจจุบันนี้มันยิ่งกว่านั้นอีก นี่ภิกษุเป็นพระอรหันต์ ๖๑ องค์ แล้วเดี๋ยวนี้ภิกษุนี่มันมีกี่องค์ มันมีอย่างไร นี่เราพยายามรักษาของเรา เพราะอะไร เพราะเราเป็นภิกษุด้วยคนหนึ่ง เราเป็นภิกษุได้องค์หนึ่งนะ เราเป็นพระโดยสมมุติแน่นอน
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ นี่พื้นฐานเราได้เปรียบเขามหาศาลเลย เพราะเรามีเครื่องมือพร้อม เราเป็นภิกษุ ศีล ๒๒๗ นี่จริงโดยสมมุติเลย พร้อมเสมอเลย ถ้าเราทำขึ้นมา นี่เราจะเป็นองค์หนึ่งที่สิ้นจากกิเลส เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ เหมือนกับสิ่งสกปรกอยู่บนภาชนะ เราชำระล้างภาชนะ ความสกปรกจากภาชนะนั้นออกไป ภาชนะนั้นก็สะอาด
ใจก็เหมือนกัน ใจเรานี่มันมีกิเลสอยู่ ทุกคนรู้อยู่ กิเลสคือความคับแค้นใจ เราไม่เคยอัดอั้นตันใจ คับแค้นใจบ้างเลยเหรอ นั่นล่ะกิเลส แล้วถ้าเราใช้ปัญญา เราใช้วิปัสสนา เราใช้สมาธิเข้าไปชำระล้างมัน แล้วสิ่งที่ความอัดอั้นตันใจต่างๆ มันโดนชำระออกไปนี่ นี่สิ่งนี้มันสะอาดได้ นี่อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ใจของเรานี่เห็นไหม ถ้าเราทำสิ่งนี้ได้ขึ้นมา เราก็เป็นภิกษุองค์หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เผยแผ่ธรรม อย่าไปซ้อนทางกัน ให้เป็นประโยชน์กับโลกเขา ให้เป็นประโยชน์กับเราก่อน
เราพยายามสร้างนะ สร้างให้เป็นประโยชน์กับเรา แล้วเราจะได้รับใช้ เราจะได้ดูแลโลก เราจะได้เป็นเกียรติกับศาสนา เป็นเกียรติกับศาสนานะ เพราะชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันไง สถาบันศาสนา แล้วมีบุคลากรที่ขับเคลื่อนให้ศาสนาออกมาเป็นสิ่งที่โลกเขาได้พึ่งอาศัยไง
สิ่งนี้จะเป็นเกียรติกับศาสนา เราเป็นคนหนึ่งที่จะเป็นเกียรติกับศาสนาหรือไม่เป็นเกียรติ นี่เราต้องพยายามทำของเรา เราต้องมีความอดทนของเรา เราพยายามค้นคว้าของเรา มีความสุขของเราก่อน เราจะรู้เองว่าเราได้ชำระกิเลสไปมากน้อยแค่ไหน ถ้ามากน้อยแค่ไหน เราจะรับผิดชอบสังคมได้มากน้อยแค่ไหน เราจะรู้กำลังของเราตลอดไป ถ้าคนๆ นั้นยังเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์กับเราก่อน แล้วจะเป็นประโยชน์กับโลก เอวัง